Powered By Blogger

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จังหวัดเชียงใหม่

จังหวัดเชียงใหม่เป็นจังหวัดที่นักท่องเที่ยวสูงสุดของจังหวัดในภาคเหนือ เมืองเชียงใหม่เป็นเมืองโบราณนับร้อยๆปี จุดเด่นเรื่องท่องเที่ยวของเชียงใหม่จุดหนึ่งคือ คูเมืองเชียงใหม่ ซึ่งจะล้อมรอบทั้งสี่ด้านของกลางเมืองเชียงใหม่ ภายในคูเมืองมีการควบคุมไม่ให้สร้างตึกสูงเกินไป บ้านเรือนยังมีความเป็นล้านนา สวยงามสบายตาและก็สอาดน่าท่องเที่ยว

ผู้คนของเชียงใหม่ยังคงรักษาวัฒนธรรมด้านภาษาไว้ได้อย่างดี เมื่อไปถามไถ่พูดคุยกับเขาก็จะอู้กำเมือง ซึ่งเป็นคำพูดที่หวานหูชวนน่าฟัง นิสัยใจคอของคนที่นี่ก็ชอบช่วยเหลือดูง่ายๆเวลาเราจอดรถถามทางก็จะยิ้มแย้มแจ่มใส พยายามช่วยอย่างเต็มที่บางรายขับรถนำทางเลยก็มี นี่เป็นเสน่ห์ที่ชวนให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวเชียงใหม่กันจำนวนมาก โดยเฉพาะหน้าหนาว ตั้งแต่ปลายตุลาคมไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์

ตัวเมืองเชียงใหม่อยู่ติดกับดอยสุเทพทำให้ทัศนียภาพดูสวยงาม ในทุกฤดูกาล หน้าหนาวอากาศเย็นสบายช่วงเช้ามืดอุณหภูมิอยู่ที่ประมาญ 15 องศา กลางวันประมาณ 25 องศา บ่ายๆอาจร้านหน่อยแต่ก็ไม่เหนียวตัว ในช่วงหน้าฝน เนื่องจากอยู่ติดดอยสุเทพ ทำให้มีฝนตกค่อนข้างมากอากาศเย็นสบาย โดยเพาะหลังฝนตกโอโซนจากดอยสุเทพหล่อเลี้ยงคนเมืองเชียงใหม่ทั้งเมือง ในหน้าร้อนเชียงใหม่ค่อนข้างร้อน แต่พอช่วงบ่ายๆ เงาดอยสุเทพก็บังเมืองเชียงใหม่ เสมือนหนึ่งว่าช่วงเย็นยาวนานกว่าปกติ นับว่าเป็นจังหวัดที่น่าท่องเที่ยวมาก

การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย


การยุบสภาผู้แทนราษฎรไทย คือการทำให้ความเป็นสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สิ้นสุดลงโดยพระมหากษัตริย์ทรงตราพระราชกฤษฎีกาบัญญัติให้อายุของสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงก่อนครบกำหนดตามวาระ อันมีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งสภาพ้นจากตำแหน่งพร้อมกัน เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ การยุบสภาเป็นมาตรการสำคัญอย่างหนึ่งของระบบรัฐสภาที่ทำให้มีการคานอำนาจกันระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร อย่างไรก็ตาม การยุบสภาเป็นกระบวนการที่ไม่มีในระบบประธานาธิบดี เพราะขัดต่อหลักการแบ่งแยกอำนาจตามระบบดังกล่าว อันแตกต่างจากระบบรัฐสภาซึ่งเป็นการแบ่งแยกหน้าที่


การยุบสภาผู้แทนราษฎรถือเป็นกระบวนการที่นำมาใช้แก้ปัญหาทางตันทางการเมือง กล่าวคือ การแก้ปัญหาอาจกระทำได้หลายประการ อาทิ การที่รัฐบาลลาออก การยุบสภา และรัฐประหาร เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่า การยุบสภาเป็นมาตรการเกือบสุดท้ายก่อนรัฐประหาร โดยคืนอำนาจให้ประชาชน การคืนอำนาจให้ประชาชนในที่นี้ หมายถึง การให้ประชาชนอันเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตามระบอบประชาธิปไตย เป็นผู้ตัดสินโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

อนึ่ง เหตุผลในการยุบสภานั้น หาได้มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายใดบัญญัติไว้ไม่ ดังนี้ จึงเป็นไปตามประเพณีการปกครองตลอดจนสภาวการณ์ของประเทศในขณะนั้น อาทิ เกิดความขัดแย้งรุนแรงในรัฐสภาหรือระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล การใช้เป็นเครื่องมือในการชิงความได้เปรียบทางการเมือง เช่น ขณะที่ตนมีคะแนนนิยมสูงมาก การที่สภาวการณ์ต่าง ๆ สุกงอมพอสมควรที่จะจัดให้มีการเลือกตั้งก่อนครบอายุสภา เช่น ดำเนินการตามรัฐธรรมนูญได้เสร็จสิ้นแล้ว ส่วนการยุบสภาในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 คือ เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดจากการชุมนุมนอกรัฐสภา จนอาจนำมาซึ่งการจลาจลและความสูญเสียในชีวิตของประชาชน

เตือนภัยหน้าร้อน


เตือนภัยหน้าร้อน! ระวังโรค “ฮีตสโตรก” ชี้ถึงขั้นเสียชีวิต


สธ.ชี้สภาพอากาศร้อนจัด เสี่ยงคนไทยเกิดโรค “ฮีตสโตรก” หรือโรคลมแดดชนิดที่ไม่มีเหงื่อออก เตือนผู้สูงอายุ เด็ก คนอดนอน ผู้ป่วยความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะคอเหล้า มีความเสี่ยง เผยเป็นแล้วโอกาสดับสูงถึงร้อยละ 70 แนะดื่มน้ำมากๆ ให้ถึงวันละ 2 ลิตร เพื่อป้องกัน


นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้สภาพอากาศในประเทศไทยร้อนมาก อันเป็นผลพวงมาจากสภาวะโลกร้อน ทำให้ประชาชนไทยเสี่ยงต่อการเจ็บป่วยหลายโรค ที่กระทรวงสาธารณสุขเป็นห่วง และให้ทุกจังหวัดดำเนินการป้องกันอย่างเข้มงวดในขณะนี้คือ โรคระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมักพบบ่อย เกิดจากการรับประทานอาหารและน้ำที่มีเชื้อโรคปนเปื้อนเข้าไป แต่โรคที่ยังมีการพูดถึงกันน้อยมากคือ โรคลมแดด ซึ่งเกิดในช่วงที่สภาพอากาศร้อนจัด ทางการแพทย์เรียกว่า ฮีตสโตรก (Heat stroke) เป็นภาวะวิกฤติของร่างกายที่ไม่สามารถควบคุมระดับความร้อนภายในร่างกายได้ มีข้อมูลในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา มีประชาชนเสียชีวิตจากสาเหตุนี้ปีละประมาณ 400 คน ในประเทศไทยยังไม่เคยมีรายงานใครเสียชีวิต

คิดอย่างไรไม่ให้เครียด


เครียด เป็นภาระที่ทุกคนไม่อยากประสบพบพาน แต่คงไม่มีใครที่ไม่เคยเครียด ดังนั้นมาทำความรู้จักกับความเครียด และวิธีการคิดเพื่อที่จะได้ไม่เครียดกันดีกว่า
ความเครียด เป็นเรื่องของร่างกายและจิตใจ ที่เกิดจากการตื่นตัวเตรียมรับกับสถานการณ์ หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งคาดว่าเป็นเรื่องที่เกิดกำลังความสามารถที่จะแก้ไขได้ ทำให้รู้สึกหนักใจ เป็นทุกข์และส่งผลทำให้เกิดอาการผิดปกติ ทั้งทางร่างกายและจิตใจตามไปด้วย
ความเครียดนั้นมีกันทุกคน แต่ละมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาการคิดการประเมินสถานการณ์ของแต่ละคน ถ้าคิดว่าปัญหาไม่ร้ายแรงแก้ไขได้โดยง่าย ก็จะไม่เครียด แต่ถ้าหากว่าปัญหานั้นยิ่งใหญ่ ร้ายแรง แก้ไขลำบาก ก็จะทำให้เครียดมาก หากว่ามีความเครียดในระดับที่พอดี ๆ ก็จะช่วยให้มีพลัง มีความกระตือรือร้นในการต่อสูงชีวิต ฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ ได้ ซึ่งนี่เองคือข้อดีของความเครียด ไม่ใช่ว่าเครียดจะไม่มีส่วนดี ๆ เอาเสียเลย
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเครียดมี 2 ประการคือ
1. สภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาการปรับตัว ปัญหาการเรียน ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้ล่วนเป็นตัวกระตุ้นอย่างดีที่จะทำให้เกิดความเครียดได้
2. การคิดและการประเมินสถานการณ์ของบุคคล จะสังเกตได้ว่าคนที่มองโลกในแง่ดี มีอารมณ์ขัน ใจเย็น จะมีความเครียดน้อยกว่าคนที่มองโลกในแง่ร้าย เอาจริงเอาจัง ใจร้อนและวู่วาม
จากสาเหตุที่สำคัญนี้ ความเครียดจะไม่เกิดจากสาเหตุใดสาเหตุหนึ่งเพียงอย่างเดียว แต่จะเกิดจากทั้งสองสาเหตุประกอบกันคือ มีสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นตัวกระตุ้น แล้วมีความคิดและการประเมินสถานการณ์เป็นตัวบ่งว่าจะเครียดมากเครียดน้อยเพียงใด
เมื่อปัญหากระตุ้นให้เกิดความเครียด การลดความเครียดจึงจำเป็นที่จะต้องรู้วิธีคิดที่ถูกต้องเหมาะสม ซึ่งวิธีคิดที่เหมาะสมได้แก่
1. คิดในแง่ยืดหยุ่นให้มากขึ้น อย่าเอาจริงเอาจัง เข้มงวดจับผิด หรือตัดสินถูกผิดตัวเอง หรือผู้อื่นตลอดเวลา รู้จักผ่อนหนัก ผ่อนเบา ผ่อนสั้น ผ่อนยาว ลดทิฐิมานะและที่สำคัญควรรู้จักการให้อภัยก็จะทำให้ชีวิตมีความสุขขึ้น และมีความเครียดน้อยลง
2. คิดอย่างมีเหตุผล ไม่ด่วนเชื่ออะไรง่าย ๆ ไม่ด่วยสรุปอะไรง่าย ๆ ให้พยายามใช้เหตุผลตรวจสอบข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ ไตร่ตรองให้รอบคอบ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้ตกเป็นเหยื่อให้ใครหลอกเอาง่าย ๆ แล้ว ยังสามารถตัดความกังวลใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปได้อีกด้วย
3. คิดหลาย ๆ แง่มุม มองหลาย ๆ ด้าน ทั้งด้านดีและไม่ดี พึงระลึกไว้เสมอว่า ทุกอย่างมีข้อดีและข้อไม่ดีประกอบกันทั้งสิ้น จึงไม่ควรมองด้านใดด้านหนึ่งเพียงด้านเดียวให้ใจเป็นทุกข์ และที่สำคัญ ควรหัดคิดหัดมองในมุมของคนอื่นด้วย อย่างที่เขาเรียกว่าเอาใจเขามาใส่ใจเรา ก็จะช่วยให้เรามองอะไรได้กว้างไกลกว่าเดิม
4. คิดแต่เรื่องดี ๆ เพราะหากว่าเราคิดแต่เรื่องร้าย ๆ เรื่องความล้มเหลวผิดหวังหรือเรื่องที่เป็นทุกข์ ก็จะทำให้เครียดมากขึ้น ควรคิดถึงเรื่องดี ๆ ให้มาก ๆ นอกจากไม่ทำให้เครียดแล้วยังทำให้สบายใจมากขึ้นด้วย
5. คิดถึงคนอื่นบ้าง อย่าหมกมุ่นแต่เรื่องของตัวเองเท่านั้น เปิดใจให้กว้างรับรู้ความรู้สึกและความเป็นไปของคนอื่นและคนใกล้ชิด ใส่ใจที่จะช่วยเหลือแก้ไขปัญหาของผู้อื่นในสังคม บางครั้งจะพบว่า ปัญหาหรือความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่นั้นเป็นเรื่องเล็กนิดเดียวเมื่อเทียบกับปัญหาของผู้อื่น ซึ่งความรู้สึกแบบนี้จะทำให้เครียดน้อยลง จะช่วยให้รู้สึกดีขึ้น และยิ่งถ้าสามารถช่วยให้ผู้อื่นแก้ไขปัญหาได้ ก็จะทำให้สุขใจมากขึ้นเป็นทวีคูณเลยทีเดียว

ฟังเพลงหน่อยนะจะได้ไม่เครียด

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

จังหวัดขอนแก่น


จากหลักฐานการสำรวจบริเวณบ้านโนนนกทา บ้านนาดี ตำบลบ้านโคก อำเภอภูเวียง ของ วิลเฮล์ม จิโซลไฮม์ เรื่อง เออร์ลี่บรอนซ์ อิน นอร์ธอิสเทริน์ ไทยแลนด์ ได้ค้นพบเครื่องสำริดและเหล็กมีเครื่องมือเครื่องใช้เป็นขวาน รวมทั้งแบบแม่พิมพ์ที่ใช้หล่อ มีกำไลแขนสำริดคล้องอยู่ที่โครงกระดูกท่อนแขน ซ้อนกันหลาย วง พบกำไรทำด้วยเปลือกหอย รวมทั้งพบแหวนเหล็กไน แสดงว่ามีการปั่นด้ายทอผ้าใช้ในยุคนั้นแล้ว นอกจากนี้ ยังพบขวานทองแดง อายุ 4,600-4,800 ปี เป็นหัวขวานหัวเดียวที่พบในประเทศไทย ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ ในชั้นดินที่ 20 การกำหนดอายุโดยคาร์บอนด์ 14 จากชั้นดินที่ 19 ปรากฏว่าอายุ 4,275 ปี จากหลักฐานข้างต้นพิสูจน์ให้เห็นว่าอาณาเขตบริเวณจังหวัดขอนแก่น เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรม วัฒนธรรมอันสูงสุดมาแต่ดึกดำบรรพ์ มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนสมัยพุทธกาลหลายพันปี

พระธาตุขามแก่น

จังหวัดมหาสารคาม

เมืองมหาสารคาม นับเป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมของชาวอีสาน มีชุมชนโบราณมากมาย ไม่ว่าจะเป็นชุมชนบ้านเชียงเหียน หมู่บ้านปั้นหม้อของชาวบ้านหม้อ ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคามแหล่งโบราณสถาน และสถานที่สำคัญทางศาสนาก็มี พระธาตุนาดูน กู่สันตรัตน์ อำเภอนาดูน กู่บ้านแดง อำเภอวาปีปทุม ปรางค์กู่ ตำบลเขวา อำเภอเมืองมหาสารคาม ที่น่ามาศึกษาหาความรู้ทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง

ปัจจุบันจังหวัดมหาสารคามเป็นเมือง ตักสิลา เมืองการศึกษาของชาวเมืองตักสิลา เมืองการศึกษาของชาวอีสาน มีทั้ง มหาวิทยาลัยมหาสารคาม มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม วิทยาลัยพลศึกษา วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี วิทยาลัยอาชีวศึกษา รวมทั้งสถานศึกษาอุดมศึกษาของภาคเอกชน ซึ่งในช่วงเปิดภาคเรียนจังหวัดมหาสารคาม จะครึกครื้นไปด้วยนักศึกษาจากต่างถิ่นที่มาศึกษาหาความรู้จากสถานศึกษาต่าง ๆ ในจังหวัดมหาสารคาม


สถานที่สำคัญ ของจังหวัดมหาสารคามอีกหนึ่งแห่งที่ตั้งอยู่ที่ อำเภอนาดูน ซึ่งพระธาตินาดูนมีความเป็นมาที่ยาวนานและเป็นที่เคารพสักการะ ของชาวจังหวัดมหาสารคามและจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งผ่านที่เดินทางผ่านไปมาได้แวะมาสักการะสร้างขึ้นเพื่อบรรจุบพระบรมสารีริกธาตุที่ได้จากเจดีย์ขนาดเล็กองค์หนึ่ง ซึ่งค้นพบห่างจากองค์พระธาตุแห่งนี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 2 กิโลเมตร ลักษณุของพระธาตุเป็นเจดีย์ทรงระฆัง ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมซ้อนกัน 3 ชั้น ตกแต่งด้วยประติมากรรมนูนต่ำ ประดับเจดีย์จำลองขนาดเล็ก 4 มุม สันนิษฐานว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13-14 สมัยทวารดี




ประวัติ ปาน ธนพร และ หวาย

ประวัติปาน ธนพร
ปานเกิดเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2519 มีความสนใจในการร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก เริ่มต้นการร้องเพลงในสไตล์ลูกทุ่ง ปานเข้าเรียนระดับมัธยมที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ ได้เริ่มการร้องเพลงอาชีพครั้งแรกตอนอยู่มัธยมศึกษาปีที่ 5 ในฐานะนักร้องคอรัส หลังจากจบปริญญาตรี ที่คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เอกดนตรี ได้ทำงานเบื้องหลังมาตลอด ทั้งร้องคอรัส ร้องเพลงละคร ร้องเพลงประกอบรายการ ร้องไตเติ้ลรายการ ร้องไกด์ให้กับศิลปินดังๆ มากมาย และทำงานประจำในตำแหน่งครูสอนร้องเพลงที่วิทยาลัยนาฏศิลป์ [1][2]

ในปี 2543 ปานเข้าเป็นนักร้องเดี่ยวในสังกัดอาร์เอส โปรโมชั่น ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกที่ชื่อ ปาน ธนพร มีเนื้อหาของเพลงเกี่ยวกับผู้หญิงที่ตรงไปตรงมา ควบคุมการผลิตโดย โปรดิวเซอร์ มีฝีมือ อย่าง "นิพันธุ์ ช่วยสงเคราะห์" และได้รับเสียงตอบรับอย่างดี ในปีต่อมามีผลงานอัลบั้มที่ 2 ชื่อ หวานผ่าซาก ต่อมาในปี 2548 ทางต้นสังกัดบริษัท อาร์เอส โปรโมชั่น จีบมือกับทางบริษัท วอเนอร์ มิวสิค ไทยแลนด์ ทำโปรเจกต์พิเศษชึ้นมาหนึ่งชุด โดยให้ปาน ธนพร ร่วมงานกับวงดนตรีเพื่อชีวิต “คาราบาว” ออกผลงานเพลงในอัลบั้ม “หนุ่มบาว-สาวปาน” จากกระแสความดังของอัลบั้มชุดนี้ได้ทำให้ในช่วงนี้มีกระแสข่าวว่าปานจะย้ายไปสังกัดค่ายวอร์เนอร์มิวสิค




เพลง ไม่รักเธอ

ประวัติหวาย

ชื่อ ปัญญริสา ชื่อเล่น หวาย

เกิด 27 / 03 / 1993 อายุ 14 ปี

สีที่ชอบ ส้ม

คติประจำใจ ฝันให้ไกลไปให้ถึง

อาหารที่ชอบ pizza and chocolate

สัตว์ที่เกลียด ปลาฉลาม

กีฬาที่ชอบ ice - sket bastketball

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

จังหวัดหนองบัวลำภู


หนองบัวลำภูหรือในอดีตเรียกว่า นครเขื่อนขันธ์กาบแก้วบัวบาน ตามตำนานพระวอ-พระตา ผู้สร้างเมืองหนองบัวลำภูเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2302 โดยได้สร้างกำแพงเมือง มีค่ายคูประตูหอรบครบครันเพื่อป้องกันข้าศึก โดยเฉพาะข้าศึกจากทางเวียงจันทน์ คือ ได้สร้างกำแพงหิน หอรบขึ้นที่เชิงเขาบนภูพานคำ ซึ่งเป็นเส้นทางหน้าด่านใกล้กับบริเวณน้ำตกเฒ่าโต้ ห่างจากกำแพงเมืองไปทางทิศตะวันออกประมาณ 1 กิโลเมตร[3]

ต่อมาในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าสิริบุญสารแห่งเมืองเวียงจันทน์ ได้ส่งกองทัพมาปราบปราม เกิดการต่อสู้กันที่ช่องน้ำจั่น (น้ำตกเฒ่าโต้) บนภูพานคำ สู้รบกันอยู่สามปียังไม่แพ้ชนะกัน ทางฝ่ายเมืองเวียงจันทน์จึงขอกองทัพพม่ามาช่วยเหลือจนสามารถตีเมืองนครเขื่อนขันธ์ฯ ได้ พระวอ-พระตาจึงได้อพยพผู้คนหนีไปพึ่งพระเจ้าองค์หลวงไชยกุมารแห่งอาณาจักรล้านช้างจำปาสัก ในปี พ.ศ. 2321 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาจักรียกกองทัพมาช่วยพระวอ-พระตาขับไล่กองทัพของพระเจ้าสิริบุญสารออกไป แล้วยกกองทัพติดตามเข้าตีเมืองเวียงจันทน์ได้ ครั้งนั้นได้ได้อัญเชิญพระแก้วมรกตซึ่งพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชนำไปจากเมืองเชียงใหม่ เมืองนครเขื่อนขันธ์ฯ ก็ได้มาขึ้นอยู่กับไทย

จังหวัดกาฬสิน

กาฬสินธุ์ เป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์จังหวัดหนึ่งในภาคอีสาน จากหลักฐานทางโบราณคดีบ่งบอกว่า เคยเป็นที่อยู่อาศัยของเผ่าละว้า ซึ่งมีความเจริญทางด้านอารยธรรมประมาณ 1,600 ปี จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์เริ่มตั้งเป็นเมืองในสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อปี พ.ศ. 2336 โดยท้าวโสมพะมิตร ได้อพยพหลบภัยมาจากดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงพร้อมไพร่พล และมาตั้งบ้านเรือนอยู่ริมน้ำปาว เรียกว่า “บ้านแก่งสำโรง” แล้วได้นำเครื่องบรรณาการเข้าถวาย สวามิภักดิ์ต่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ต่อมาได้รับพระกรุณาโปรดเกล้า ยกฐานะบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมือง และพระราชทานนามว่า “เมืองกาฬสินธุ์” หรือ “เมืองน้ำดำ” ซึ่งเป็นเมืองที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยโบราณกาล “กาฬ” แปลว่า “ดำ” “สินธุ์” แปลว่า “น้ำ” กาฬสินธุ์จึงแปลว่า “น้ำดำ” ทั้งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ท้าวโสมพะมิตรเป็น “พระยาชัยสุนทร” ครองเมืองกาฬสินธุ์เป็นคนแรก

สถานที่ท่องเที่ยวจังหวัดกาฬสิน



เขื่อนลำปาว เป็นเขื่อนดินซึ่งสร้างปิดกั้นลำน้ำปาว และห้วยยาง มีบริเวณเขตติดต่อระหว่างตำบลลำปาว อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ตำบลหนองบัว อำเภอหนองกุงศรี และตำบลเว่อ อำเภอยางตลาด ตามเส้นทางหมายเลข 209 ทางหลวงสายกาฬสินธุ์-มหาสารคาม ตรงหลักกิโลเมตรที่ 10 แยกขวามือเข้าเขื่อนลำปาวตามถนนลาดยาง 26 กิโลเมตร เป็นเขื่อนดินสูงจากท้องน้ำ 33 เมตร สันเขื่อนยาว 7.8 เมตร กว้าง 8 เมตร เริ่มก่อสร้างเมื่อ พ.ศ. 2506 สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2511 เพื่อปิดกั้นลำน้ำปาวและห้วยยาง ที่บ้านหนองสองห้อง ตำบลลำปาว อำเภอเมืองกาฬสินธุ์ ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำแฝดทางด้านเหนือเขื่อน จึงได้ขุดร่องเชื่อมระหว่างอ่างทั้งสอง เก็บน้ำได้ 1,430 ล้านลูกบาศก์เมตร สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาอุทกภัยและเพื่อการเกษตรโดยเฉพาะ นอกจากนั้นยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจได้แก่ หาดดอกเกด ซึ่งเปรียบเสมือนสวรรค์ชายหาดของคนอีสาน